ภาพยนตร์เป็นสื่อแขนงหนึ่ง
” ภาพยนตร์ ” เป็นความบันเทิงชนิดใหม่ที่เกิดขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 1 ในทางมานุษยวิทยาถือว่าภาพยนตร์มีความสัมพันธ์กับพลวัตทางสังคม วัฒนธรรม ในฐานะที่เป็นเครื่องมือในการสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของกลุ่มคนต่างๆ เพราะภาพนตร์ไม่เพียงบันทึกภาพเคลื่อนไหวของผู้คน สภาพแวดล้อม สำเนียงเสียงพูดของคนในแต่ละวัฒนธรรม
หากยังเป็นผลผลิตทางวัฒนธรรมที่มีคุณลักษณะของ “ศิลปะ” และ “สื่อสารมวลชน”คุณลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งของภาพยนตร์นั้นอยู่ที่การฉายต่อสาธารณชน ฉะนั้นผู้ดูหนังออนไลน์จึงเป็นส่วนประกอบสำคัญของภาพยนตร์ ดังการถือเอาวันที่ฉายภาพยนตร์ต่อ หน้าสาธารณชนเป็นครั้งแรก เป็นวันกำเนิดภาพยนตร์สากล' เช่นเดียวกันกับเบลา บาลาซ กล่าวว่าภาพยนตร์เป็น “ศิลปะชนิดเดียวที่คนดูจะต้องเกิดขึ้นก่อน”
แนวความคิดในการควบคุมภาพยนตร์
จึงเป็นแนวความคิดที่ให้ความสำคัญแก่ “ผู้ชม” โดยการมองว่าสื่อภาพยนตร์จะมีอิทธิพลต่อผู้ชมในฐานะที่เป็นผู้รับสาร ซึ่งสามารถทำได้โดย การควบคุมโดยหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานอิสระ หรืออุตสาหกรรมภาพยนตร์ จากการทบทวนงานวิจัยเกี่ยวกับการควบคุมเนื้อหาภาพยนตร์ในต่งประเทศพบว่า จุดเริ่มตันของการควบคุมเนื้อหาภาพยนตร์
เกิดขึ้นที่สหรัฐอเมริกา โดยงานศึกษาของ กฤษดา (2548) กล่าวว่า การควบคุมเนื้อหาภาพยนตร์เกิดจากสักษณะเฉพาะของสื่อภาพยนตร์เอง นั่นคือเป็นสื่อการเล่าเรื่องด้วยภาพ สามารถนำเสนอสิ่งที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงโดยใช้วิธีที่เข้าใจง่าย สามารถตัดภาพเพื่อเปลี่ยนเหตุการณ์สถานที่
เปลี่ยนจังหวะของเหตุการณ์ เน้นเทคนิคพิเศษ การใช้ ภาพโคลสอัพเพื่อขยายให้เห็นรายละเอียด ด้วยลักษณะและความสามารถของสื่อภาพยนตร์เหล่านี้ ทำให้ผู้ที่เคร่งศาสนาและศีลธรรมรวมทั้งนักการเมืองต่างก็เชื่อมาตลอดว่า ภาพยนตร์มีอิทธิพลส่งผล ให้คนดูเปลี่ยนความคิด ความเชื่อ ทั้งทางการเมืองและศีลธรรม
ซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานที่นำไปสู่การ เซ็นเซอร์ ความพยายามที่จะเซ็นเซอร์ภาพยนตร์มีชั้นครั้งแรกในปี ค.ศ 1896 เป็นฉากจูบในภาพยนตร์ เรื่อง The Widow Jones แต่การเซ็นเซอร์โดยมีกฎหมายรองรับนั้นเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1907 ในเมือง ชิคาโก ตามด้วยนิวยอร์คและรัฐอื่นๆ
สำหรับในประเทศอังกฤษ กำเนิดและพัฒนาการของภาพยนตร์ไม่ต่างไปจากอเมริกา
ผู้ชม ส่วนใหญ่คือกลุ่มชนชั้นแรงงาน เมื่อตลาดภาพยนตร์เติบโตมากขึ้นก็เผชิญสถานการณ์คล้ายกัน คือถูกกล่าวหาว่าเป็นภัยต่อคนดูและสังคม นักหนังสือพิมพ์เรียกร้องให้มีการควบคุมภาพยนตร์
ตำรวจก็มองว่าภาพยนตร์เป็นตัวการที่กระตุ้นให้คนดูอยากเป็นอาชญากร ในที่สุดกฎหมายเซ็นเซอร์ก็ถูกบังคับใช้ในปี ค.ศ. 1907 มีเนื้อหาสำคัญคือการควบคุมสถานที่ฉายภาพยนตร์ โดยเน้นที่ความปลอดภัยเป็นหลัก แต่หลังจากที่สภาท้องถิ่นลอนดอนเสนอให้งดฉายภาพยนตร์ในวันอาทิตย์นแสดงว่าไม่ได้ต้องการควบคุมเรื่องความปลอดภัยเพียงอย่างเดียว สิ่งที่แฝงอยู่จากการห้ามฉายนี้ คือความคิดที่ต้องการให้คนหยุดกิจกรรมชมภาพยนตร์เพื่อไปโบสถ์ในวันอาทิตย์ขณะที่ในประเทศออสเตรเลีย
การฉายและการเข้าชมตลอดจนเนื้อหาของภาพยนตร์ ทำให้ผู้ปกครองและกลุ่มเคร่งศาสนาวิตกกังวลมากยิ่งกว่ามีความเชื่อที่ว่าการชมภาพยนตร์ที่ฉายในที่มืด อาจทำอันตรายต่อสายตาได้และสถานที่มืดอับทึบอาจเป็นแหล่งแพรกระจายของโรคระบาด ผู้เคร่งศีลธรรมก็มองว่า สถานที่มืดอาจเป็นแหล่งให้หนุ่มสาวมาประพฤติผิดศีลธรรม ด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้ออสตรเลียมีการควบคุมภาพยนตร์ไม่ต่างจากอเมริกาและอังกฤษ
ใจความโดยสรุป
การควบคุมเนื้อหาภาพยนตร์ในต่างประเทศ เกิดจากแนวคิดเรื่องศีลธรรมและความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นในยุโรปที่การผิดศีลธรมและนำเสนอความรุนแรงถูกห้ามฉายหรือถูกตัดออก เช่นในเบลเยียม ซีรี่ย์ออนไลน์อาจถูกห้ามฉายหรือตัดออกหากมีฉากโป๊เปลือยหรือฉากทารุณหดร้าย ส่วนในสวีเดนนั้นการพิจารณาภาพยนตร์ที่ชี้แนะการก่ออาชญากรรม การนำสนอฉากใดๆ ที่อาจส่งผลกระทบทางจิตใจต่อคนดูที่เป็นเด็ก